เมนู

ภิกขุนีวรรคที่ 3


ภิกขุนีอุปสสยสิกขาบทที่ 3


วินิจฉัย ในสิกขาบทที่ 3 พึงทราบดังนี้.
ในคำเป็นต้นว่า อญฺญตฺรสมยา โอวทติ อาปตฺติ ปาจิตฺตยสฺส
เป็นต้น บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้กล่าวสอนด้วยครุธรรม 8
เท่านั้น, กล่าวสอนด้วยธรรมอื่นเป็นทุกกฏ.
สองบทว่า เอกโต อุปสมฺปนฺนาย ได้แก่ ภิกษุณีผู้อุปสมบทใน
ภิกษุณีสงฆ์. แต่เป็นปาจิตตีย์แท้ แก่ภิกษุผู้กล่าวสอนภิกษุณีผู้อุปสมบทใน
ภิกษุสงฆ์. อนึ่ง เบื้องหน้าแต่นี้ไปในที่ทุก ๆ แห่งที่ท่านกล่าวคำว่า เอกโต
อุปสมฺปนฺนาย
ไว้ บัณฑิตพึงเห็นเนื้อความอย่างนี้เหมือนกัน. บทที่เหลือ
ตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานเหมือนกฐินสิกขาบท เกิดขึ้นทางกายกับวาจา 1
ทางวาจากับจิต 1 เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัติวัชชระ
กายกรรม วจีกรรม มีจิต 3 มีเวทนา 3 ดังนี้แล.
ภิกขุนีอุปัสสยสิกขาบทที่ 3 จบ

ข้อเบ็ดเตล็ดในสิกขาบทที่ 3


ก็แล ในสิกขาบทที่ 3 นี้ ท่านกล่าวปกิณกะไว้ในมหาปัจจรี ดัง
ต่อไปนี้ ถ้าว่า ภิกษุผู้มีได้รับสมมติ เมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว เข้าไป
สู่สำนักภิกษุณี กล่าวสอนด้วยครุธรรม 8 เป็นปาจิตตีย์ 3 ตัว. เมื่อสอนด้วย
ธรรมอื่น เป็นทุกกฏ 2 ตัว เป็นปาจิตตีย์ 1 ตัว.

คือ อย่างไร ? คือว่า ทุกกฏ มีการไม่ได้รับสมมติเป็นมูล 1 ทุกกฏ
มีการไปสู่สำนัก ภิกษุณีแล้ว กล่าวสอนด้วยธรรมอินเป็นมูล 1 ปาจิตตีย์ มีการ
กล่าวสอนเมื่อพระอาทิตย์อัสคงคตแล้วเป็นมูล 1. ภิกษุผู้ได้รับสมมติแล้ว เมื่อ
พระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว ไปในสำนักภิกษุณีนั้น กล่าวสอนอยู่ด้วยครุธรรม 8
เป็นอนาบัติ 1 เป็นปาจิตตีย์ 2 ตัว.
คือ อย่างไร ? คือว่า เป็นอนาบัติ เพราะเป็นผู้ได้รับสมมติ, เป็น
ปาจิตตีย์ 2 ตัว คือ ปาจิตตีย์ มีการกล่าวสอนเมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว
เป็นมูลตัว 1 ปาจิตตีย์ มีการไปกล่าวสอนด้วยครุธรรม 8 เป็นมูลตัว 1.
ภิกษุผู้กล่าวสอนด้วยธรรมอื่นนั่นแล เป็นอนาบัติ 1 เป็นทุกกฏ 1 ตัว เป็น
ปาจิตตีย์ 1 ตัว.
คือ อย่างไร ? คือว่า เป็นอนาบัติ เพราะได้รับสมมติ เป็นทุกกฏ
มีการไปกล่าวสอนด้วยธรรมอื่นเป็นมูลตัว 1 เป็นปาจิตตีย์ มีการกล่าวสอน
เมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้วเป็นมูลตัว 1. แต่สำหรับภิกษุผู้ได้รับสมมติ และ
ไม่ได้รับสมมติ ไปกล่าวสอนในกลางวัน บัณฑิตพึงชักปาจิตตีย์ ที่มีการ
กล่าวสอนในเวลากลางคืนเป็นมูลออกตัว 1 แล้วทราบอาบัติและอนาบัติที่เหลือ
ฉะนี้แล.

โอวาทวรรค สิกขาบทที่ 4


เรื่องพระฉัพพัคคีย์


[34] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น พระเถระ
ทั้งหลายสั่งสอนพวกภิกษุณี ย่อมได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลาน-
ปัจจัยเภสัชบริขาร พระฉัพพัคคีย์พูดกันอย่างนี้ว่า พระเถระทั้งหลายไม่ตั้งใจ
สั่งสอนพวกภิกษุณี ท่านสั่งสอนพวกภิกษุณีเพราะเห็นแก่อามิส บรรดาภิกษุที่
มักน้อย. . .ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้พูด
อย่างนี้ว่า พระเถระทั้งหลายตั้งใจสั่งสอนพวกภิกษุณี ท่านสั่งสอนพวกภิกษุณี
เพราะเห็นแก่อามิส แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า . . .

ทรงสอบถาม


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ได้ยินว่าพวกเธอพูดอย่างนี้ว่า พระเถระทั้งหลายไม่ตั้งใจสั่งสอนพวกภิกษุณี
ท่านสั่งสอนพวกภิกษุณีเพราะเห็นแก่อามิส ดังนี้ จริงหรือ.
พระฉัพพัคคีย์ ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท


พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอจึงพูดอย่างนี้ว่า พระเถระทั้งหลายไม่ตั้งใจสั่งสอนพวกภิกษุณี ท่าน
สั่งสอนพวกภิกษุณีเพราะเห็นแก่อามิส ดังนี้เล่า การกระทำของพวกเธอนั่น
ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว..